บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2526 และเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2533 ต่อมาได้เปลี่ยนโลโก้ และชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์จาก “SHIN” เป็น “INTUCH" เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)”เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของอินทัช คือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 42.25 และ Singtel Global Investment Pte. Ltd. ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 21.21
ข้อจำกัดการถือหุ้นต่างด้าวปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 47.20
สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 63.21สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 63.21สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 63.21สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 63.21
สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 63.21
อินทัชประกอบธุรกิจลงทุนในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล ซึ่งมีความสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน และเป็นธุรกิจที่มีผลกระทบในวงกว้างแก่ผู้ใช้บริการจำนวนมาก รวมทั้งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ในช่วงระยะกว่า 30 ปีที่ผ่านมาของการประกอบธุรกิจ อินทัชได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและนำพาประเทศให้ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก อีกทั้งยังนำส่งรายได้ให้กับภาครัฐทั้งในรูปแบบส่วนแบ่งรายได้ และค่ารับใบอนุญาต ทำให้ชีวิตของผู้ใช้บริการมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และอินทัชยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาให้บริการแก่ลูกค้าตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป อินทัชดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกรายได้รับผลตอบแทนและผลประโยชน์ตามที่คาดหวัง อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของบริษัท โดยอินทัชได้แบ่งประเภทธุรกิจออกเป็น 3 สายธุรกิจด้วยกัน ได้แก่
1) สายธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไร้สายในประเทศภายใต้การดำเนินงานของเอไอเอส
2) สายธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของไทยคม และ
3) ธุรกิจอื่น
โดยเอไอเอส ยังคงเป็นบริษัทที่สร้างรายได้และกำไรให้กับอินทัชสูงสุดในปัจจุบัน หรือมีสัดส่วนมูลค่าตามราคาตลาดหลักทรัพย์ที่ร้อยละ 97 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของอินทัช ณ สิ้นปี 2563
ธุรกิจร่วมลงทุนภายใต้โครงการอินเว้นท์ เป็นส่วนงานหนึ่งของอินทัชที่ทำการศึกษาหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีเกิดใหม่ เพื่อเป็นช่องทางขยายการเติบโตในธุรกิจใหม่ พร้อมกับสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจเดิม โดยการลงทุนภายใต้โครงการอินเว้นท์นี้ อินทัชได้คงนโยบายการลงทุนในกลุ่มโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล โดยเน้นการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และขยายขอบเขตการลงทุนในสตาร์ทอัพต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น รวมทั้งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับกลุ่มอินทัชเพื่อเข้าถึงโอกาสในการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G เทคโนโลยีคลาวด์ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Solutions) ต่างๆ
ทั้งนี้ อินทัชมิได้จำกัดการลงทุนแค่ในประเทศไทย แต่ยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศด้วย ซึ่งพอร์ตการลงทุนของอินทัชในปัจจุบันประกอบด้วยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยอินทัชรับรู้กำไรขาดทุนจากการลงทุนของแต่ละบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในแต่ละบริษัทไม่เกินร้อยละ 30 อย่างไรก็ตาม การลงทุนในบางบริษัททำในรูปแบบของเงินกู้แปลงสภาพ ซึ่งอินทัชพิจารณาลักษณะการลงทุนในแต่ละบริษัทตามวัฏจักรธุรกิจและระดับความเสี่ยงของธุรกิจนั้นๆ นักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.inventvc.com
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลและคำถามที่พบบ่อยของโครงการอินเว้นท์ได้ที่ http://www.inventvc.com โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ทางโทรศัพท์หมายเลข +66 (0) 2118 6921 หรืออีเมล์ invent@intouchcompany.com
อินทัชประกอบธุรกิจลงทุนในกลุ่มโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อินทัชมีเงินสดประมาณ 2,377 ล้านบาทและไม่มีภาระหนี้สินระยะยาว ทั้งนี้ แผนการลงทุนของบริษัทไม่มีผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลจากงบการเงินเฉพาะของบริษัท โดยพิจารณาจ่ายจากเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด และการจ่ายเงินปันผลนั้นไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ